เจาะกลยุทธ์ธุรกิจจีนในไทย 3 โมเดลรุกตลาด พร้อมวิธีรับมือเพื่อธุรกิจไทย

เจาะกลยุทธ์ธุรกิจจีนในไทย 3 โมเดลรุกตลาด พร้อมวิธีรับมือเพื่อธุรกิจไทย

เจาะกลยุทธ์ธุรกิจจีนในไทย 3 โมเดลรุกตลาด พร้อมวิธีรับมือเพื่อธุรกิจไทย

การขยายตัวของธุรกิจจีนในประเทศไทย ก่อให้เกิดพลวัตทางเศรษฐกิจ นำมาซึ่งทั้งโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ สินค้าและบริการจากจีนได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตของผู้บริโภคชาวไทย ส่งผลให้ภาคธุรกิจไทยต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น บทความนี้จะนำเสนอการวิเคราะห์โมเดลธุรกิจจีนในประเทศไทย พร้อมทั้งเสนอแนะกลยุทธ์ในการรับมือเพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่ภาคธุรกิจไทย

ปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจจีนในประเทศไทย

การรุกคืบของธุรกิจจีนในประเทศไทยเป็นผลสืบเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในประเทศจีน ซึ่งกระตุ้นให้ภาคธุรกิจจีนแสวงหาตลาดใหม่ๆ ประกอบกับข้อตกลงทางการค้าเสรี เช่น ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล ได้เอื้ออำนวยให้ธุรกิจจีนเข้าถึงผู้บริโภคชาวไทยได้โดยง่าย

3 โมเดลธุรกิจจีน การไหลเวียนของเงินทุน

ในปี พ.ศ. 2566 ประเทศไทยนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่ากว่า 4.69 แสนล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวของธุรกิจจีนในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยธุรกิจจีนมีจุดแข็งในด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำ การบริหารจัดการคลังสินค้าภายในประเทศ และกลยุทธ์การกำหนดราคาที่สามารถแข่งขันได้ โมเดลธุรกิจจีนที่น่าสนใจ ประกอบด้วย

ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์: แพลตฟอร์มชั้นนำอย่าง Shein, Temu, Shopee, Lazada, TikTok และ Taobao เป็นช่องทางสำคัญที่เชื่อมโยงผู้บริโภคชาวไทยกับสินค้าจีนที่มีราคาประหยัด
ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม: แบรนด์แฟรนไชส์ เช่น Mixue, Wedrink, Zhengxin Chicken และ Cotti Coffee ใช้กลยุทธ์ราคาที่เข้าถึงได้ การขยายสาขาอย่างรวดเร็ว และการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก เพื่อเจาะตลาดผู้บริโภคชาวไทย
ระบบนิเวศธุรกิจแบบครบวงจร: แพลตฟอร์มจีน เช่น Feixiang (ช้างบิน) และ Gokoo (หงอคง) มุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศธุรกิจที่ครอบคลุม ตั้งแต่บริการจัดส่ง การรีวิวร้านอาหาร การจองที่พัก ไปจนถึงการจองตั๋ว โดยให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าชาวจีนในประเทศไทย
ผลกระทบของธุรกิจจีนต่อเศรษฐกิจไทย

การขยายตัวของธุรกิจจีนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ

ด้านบวก: ผู้บริโภคชาวไทยมีทางเลือกในการบริโภคสินค้าและบริการที่หลากหลายมากขึ้น สินค้าที่มีราคาประหยัดช่วยลดภาระค่าครองชีพ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวได้รับอานิสงส์จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น
ด้านลบ: ธุรกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ประเทศไทยประสบปัญหาการขาดดุลการค้ากับประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2566 ประเทศไทยขาดดุลการค้ากับประเทศจีนเป็นมูลค่าสูงถึง 1.1 ล้านล้านบาท และในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2567 มูลค่าการขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 7.2 แสนล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพาทางเศรษฐกิจกับประเทศจีน

กลยุทธ์รับมือเพื่อความยั่งยืนของภาคธุรกิจไทย

ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อรับมือกับการขยายตัวของธุรกิจจีน โดยภาครัฐควรมีบทบาทในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กำกับดูแลแพลตฟอร์มต่างชาติ และพัฒนากรอบกฎหมายให้ทันสมัย ขณะที่ภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะ SMEs ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ การสร้างแบรนด์ การขยายฐานลูกค้า และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

ข้อเสนอแนะจากคุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ (CEO Pay Solutions)

ภาครัฐ: ส่งเสริมการพัฒนาแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของไทย กำหนดกฎระเบียบเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน และสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนและองค์ความรู้สำหรับ SMEs
SMEs: มุ่งเน้นคุณภาพของสินค้าและบริการ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ เจาะกลุ่มตลาดใหม่ พัฒนาทีมงานด้านการตลาดออนไลน์ และสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ

การปรับตัว การพัฒนา และการสร้างจุดแข็ง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจไทยสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ท่ามกลางกระแสการขยายตัวของธุรกิจจีนในประเทศไทย