ตัวชี้วัดสำคัญของอีคอมเมิร์ซที่ต้องจับตามอง

ตัวชี้วัดสำคัญของอีคอมเมิร์ซที่ต้องจับตามอง

การสร้างธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยข้อมูลและตัวเลขเพื่อช่วยในการตัดสินใจที่ถูกต้อง ตัวชี้วัดเหล่านี้เปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางร้านค้าของเรา บอกให้เรารู้ว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ ตั้งแต่ยอดขายรายวันไปจนถึงมูลค่าเฉลี่ยของการสั่งซื้อแต่ละครั้ง ทุกตัวเลขล้วนมีความหมาย

แต่แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องติดตามทุกตัวชี้วัดที่มีอยู่ เราควรโฟกัสไปที่ตัวชี้วัดสำคัญที่จะส่งผลต่อธุรกิจของเรามากที่สุด ต่อไปนี้คือ 7 ตัวชี้วัดที่เจ้าของร้านค้าออนไลน์ทุกคนควรให้ความสำคัญ

  1. Conversion Rate (อัตราการแปลง)

Conversion Rate คือสัดส่วนของผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่ตัดสินใจซื้อสินค้า คิดง่ายๆ คือ ถ้ามีคนเข้ามาดูสินค้า 1,000 คน แล้วมี 10 คนที่ซื้อของ อัตรา Conversion ก็คือ 1% ยิ่งตัวเลขนี้สูง ยิ่งดี

แต่ในความเป็นจริง อัตรา Conversion เฉลี่ยในไทยอยู่ที่ประมาณ 1-2% เท่านั้น ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำ ดังนั้นเราต้องหาวิธีเพิ่มตัวเลขนี้ให้ได้

วิธีเพิ่ม Conversion Rate ที่นิยมทำกันก็เช่น การปรับปรุงเว็บไซต์ให้โหลดเร็วขึ้น ใชรูปภาพสินค้าสวยๆ คมชัด และทำ SEO ให้สินค้าติดอันดับต้นๆ ในผลการค้นหา

  1. Website Traffic (จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์)

เมื่อเราพยายามเพิ่ม Conversion Rate แล้ว สิ่งต่อไปที่ต้องทำคือเพิ่มจำนวนคนเข้ามาดูสินค้าในร้านค้าของเรา

สมมติว่าเราเพิ่ม Conversion Rate ได้เป็น 5% ถ้ามีคนเข้ามา 1,000 คน ก็จะมีคนซื้อ 50 คน ถ้าเราเพิ่มจำนวนคนเข้ามาเป็น 10,000 คน ยอดขายก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 500 คน (ในทางทฤษฎี)

ดังนั้นเราต้องทำให้คนรู้จักร้านค้าของเรามากขึ้น อาจจะโปรโมทผ่านโซเชียลมีเดีย ทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับ หรือส่งอีเมลข่าวสารไปหาลูกค้าก็ได้

  1. อัตราการเลือกรับอีเมล

ถึงแม้ว่าโซเชียลมีเดียจะมาแรง แต่การตลาดผ่านอีเมลก็ยังสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการทำ Remarketing หรือการกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ

เราอยากให้คนสมัครรับอีเมลจากเรามากๆ ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ซื้อสินค้าก็ตาม เพราะคนที่สมัครรับอีเมลแสดงว่าเขาสนใจร้านค้าของเรา มีโอกาสที่จะมาซื้อสินค้าในอนาคตมากกว่าคนที่แค่เข้ามาดูเฉยๆ

วิธีดึงดูดให้คนสมัครรับอีเมลก็เช่น การให้ส่วนลดพิเศษสำหรับสมาชิกใหม่

  1. Customer Lifetime Value (มูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า)

ตัวชี้วัดนี้บอกให้เรารู้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วลูกค้าหนึ่งคนมีมูลค่าเท่าไหร่ตลอดช่วงเวลาที่เขาซื้อสินค้ากับเรา

สมมติว่าลูกค้าหนึ่งคนซื้อสินค้ากับเรา 6 ครั้ง ครั้งละ 300 บาท มูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้าคนนี้ก็คือ 1,800 บาท (แต่ต้องหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ออกด้วย)

ตัวเลขนี้สำคัญเพราะมันทำให้เรารู้ว่าเราสามารถลงทุนเพื่อหาลูกค้าใหม่ได้เท่าไหร่ และควรดูแลลูกค้าเก่าให้อยู่กับเรานานแค่ไหน

  1. มูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย

ตัวชี้วัดนี้บอกให้เรารู้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วลูกค้าซื้อสินค้าครั้งละเท่าไหร่ แน่นอนว่าเราอยากให้ลูกค้าซื้อเยอะๆ ในแต่ละครั้ง

วิธีเพิ่มมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยก็เช่น การขายสินค้าเสริมที่ใช้คู่กับสินค้าหลัก การจัดเซ็ตสินค้าพร้อมส่วนลด หรือการให้ส่งฟรีเมื่อซื้อครบตามกำหนด

  1. ต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้า

การหาลูกค้าใหม่เป็นสิ่งสำคัญ แต่เราต้องดูด้วยว่าเราเสียค่าใช้จ่ายไปเท่าไหร่เพื่อให้ได้ลูกค้าแต่ละคน

สมมติว่าเราเสียเงิน 100 บาทในการโฆษณาเพื่อให้ได้ลูกค้า 1 คน แต่ลูกค้าคนนั้นซื้อสินค้าเฉลี่ยแค่ 80 บาท แบบนี้ก็ขาดทุน

ดังนั้นเราต้องพยายามลดต้นทุนในการหาลูกค้า อาจจะลองปรับปรุง Conversion Rate ทำให้โฆษณาของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือเน้นการตลาดแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่น การทำ SEO หรือการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย

  1. อัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้า

ตัวชี้วัดนี้บอกให้เรารู้ว่ามีลูกค้ากี่คนที่ใส่สินค้าลงตะกร้าแล้ว แต่ไม่ยอมกดสั่งซื้อ

ลูกค้าเหล่านี้อาจจะยังลังเลอยู่ เราต้องหาวิธีทำให้เขากลับมาซื้อสินค้าให้ได้

วิธีลดอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้าก็เช่น การทำใหขั้นตอนการสั่งซื้อง่ายขึ้น การส่งอีเมลตามไปเตือน หรือการทำ Remarketing ผ่านโฆษณา

ตัวชี้วัดทั้ง 7 ข้อนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หากร้านค้าของคุณเติบโตขึ้น ก็อาจจะมีตัวชี้วัดอื่นๆ ที่ต้องติดตามเพิ่มขึ้นอีก การทำอีคอมเมิร์ซต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เราสามารถปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจของเราให้ดียิ่งขึ้นไป

หมายเหตุ: ตัวเลขและข้อมูลที่ใช้ในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจง่าย อาจจะไม่ตรงกับสถานการณ์จริงของแต่ละธุรกิจ